เ พ ลิ ง ---------- อนุสรณ์ ลิ่มมณี ---------- รอฟอนไฟไล่ควันจากสันเขา มาลุกเร่าเริงร้อนอ่อนระโหย เพื่อกระพือยื้อใบไม้ลงปรายโปรย หลังลมโชยโรยเชื้อการเรื้อลาม ระบำใบไผ่พรูบินสู่ป่า ใต้ดวงตาแห่งวันอันอร่าม ฤดูร้อนซ้อนสันดาบขึ้นวาบวาม ติดไปตามแถวทิวโรจน์ริ้วแรง ม่านหมอกคล้ำสำหรับการขับไล่ ดาลกลไกไฟธาตุให้ผาดแผลง ก็คลายคลี่สีดำสื่อสำแดง ขณะแสงอัคคีเริ่มลีลา วัฏจักรชีวะหวนกระหน่ำ พลังกรรมก่อกระสันจุดตัณหา คือไฟโชยฉายช่วงในดวงตา และมีมานิจนิรันดร์หว่างวันวัย เพราะเป็นเพลิงปราโมทย์ซึ่งโชติฉาน โดยสันดานได้ระดมอารมณ์ใคร่ ความร้อนแรงกักขละอุ่นละไม แฝงมาในทางเดินอันเนิ่นนาน ไฟเริ่มดับลับควันจากสันผา แล้วอ่อนล้าลางเลาเหลือเถ้าถ่าน แต่เปลวเพลิงราคะพิสดาร ยังเผาผลาญมวลมนุษย์ไม่หยุดเลย
พนมเพลิงเหนือพนมเปญ (พ.ศ.2517) ---------------------------- อนุสรณ์ ลิ่มมณี ---------------------------- หลังหลืบเร้นเส้นกั้นผีปันน้ำ ริมรอยย่ำแหลกยับและสับสน ระหว่างวันอันระวังหวาดกังวล ทิ้งมณฑลหม่นท่ามม่านความตาย คลื่นลำโขงร่ำข่าวจากราวเขา สงบเหงาเงียบงันน่าขวัญหาย นำนาวามนุษย์ไปผุดราย ล่องร่างกายไร้ค่ากลับมาเรือน เหมือนทมิฬวิญญูอณูโหด ลิ่วละโลดไล่ล่าอย่างป่าเถื่อน เบื้องหลังพรานหว่านธนูผู้มาเยือน เพียงเลือดเปื้อนเลือนพร่าภาพทารุณ โพ้นพระปรางค์พร่างโพลนตัดโพ้นฟ้า เหนือโพ้นป่าผืนภพเคยอบอุ่น รอเวลาลาญเร้นแหลกเป็นจุณ จะฝากฝุ่นแฝงฟ้อนขึ้นฟอนควัน พนมเพลิงเริงเปลวผ่านเหวหิน ดาลแผ่นดินผืนเดิมเพิ่มสีสัน โดยปลายปืนในมือคือพู่กัน วาดวัยวันเหว่ว้ากลางนาคร หลังหลืบเร้นเส้นกั้นผีปันน้ำ เหลือรอยย่ำลงสั่งลางสังหรณ์ ภูตสงครามกระหายหรรษ์เริ่มสัญจร รอรานรอนเร่งล้ม "พนมเปญ"
ถ้าสังเกตดู จะเห็นว่าคุณอนุสรณ์ผู้เขียนได้พยายามเล่นสัมผัสอักษร ในแต่ละวรรคเท่าที่จะทำได้ อาทิเช่น หลังหลืบเร้น รอยย่ำ-แหลกยับ หว่าง วัน ระวัง กังวล มณฑล-หม่นท่าม ลำโขง-ร่ำข่าว-ราวเขา เหงาเงียบงัน ล่อง ร่าง ไร้ เรือน ลิ่ว-ละโลด-ไล่-ล่า แม้วรรคสุดท้ายก็ยังจบด้วย รอ-ราน-รอน-เร่ง-ล้ม สัมผัสอักษรเหล่านี้ทำให้บทกลอนของเขาลื่นไหล ไพเราะ และโดดเด่นกว่าของคนอื่นที่ไม่ค่อยได้เล่นสัมผัสแบบนี้
เ ห มื อ น น ก ข มิ้ น ------------------- ทวีสุข ทองถาวร ------------------- ความเป็นห่วงของใครก็ไม่รู้ มาซุกอยู่ใต้หมอนฉันนอนหนุน พรางสื่อพจน์รสถ้อยร้อยละมุน ซ้ำยังกรุ่นกลิ่นแก้มไว้แกมกัน นี่รอยแก้มแต้มไว้..ของใครหนอ แนบแก้มคลอเคลียครองข่มหมองขวัญ ฉันว้าเหว่แรมหวังมาทั้งวัน ขอฝากฝันพอแฝงสร้างแรงใจ เดือนข้างแรมค้างรุ่งรอพรุ่งนี้ เหมือนใจที่ทุกข์ท้อรอวันใหม่ คืนพรุ่งนี้นี่จะนอนแนบหมอนใคร เหลือบ้างไหมชายคาที่อาทร "โอ้อกเอ๋ยหัวอกนกขมิ้น เจ้าเสเพลพลัดถิ่นเที่ยวบินร่อน นี่ดึกแล้วเตลิดหลงกลางดงดอน จะเกาะคอนเคียงใครที่ไหนเอย" ฉันถูกปล่อยอยู่กลางความว่างเปล่า เหมือนอกเจ้านกขมิ้นชินจนเฉย พรุ่งนี้ขวัญคงคว้างอีกอย่างเคย ชีพสังเวยความทุกข์ที่คุกคาม กราบหมอนน้อยเพื่อนนอนค่อนคืนนี้ ขอพรศรีสรวมกมล "คนต้องห้าม" ยืมเยื่อใยใต้หมอนสะท้อนความ แทนถ้อยถามทักท้วงเธอห่วงใย สำหรับเธอที่ฉันเฝ้าฝันหา หากถามว่าคืนนี้นอนที่ไหน "จะตอบถ้อยที่ถามไปตามใจ ฉันหลับแล้วอยู่ใกล้ใกล้หัวใจเธอ"
กลอนของคุณทวีสุข ก็เช่นกัน มาในแนวเดียวกันคือเล่น สัมผัสอักษรเท่าที่จะทำได้ อาทิเช่น กรุ่น-กลิ่น-แก้ม-กัน คลอ-เคลีย-ครอง-ขวัญ ว้าเหว่-หวัง-วัน ฝากฝัน-แฝง ข้างแรม-ค้างรุ่ง นี้-นี่-นอน-แนบ เป็นต้น